ไขข้อข้องใจ ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบบี และซี
ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ
ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตับอักเสบ หากการอักเสบของตับไม่หายและกลายเป็นตับอักเสบระยะเรื้อรัง จะเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในเนื้อตับ จนกลายเป็นภาวะตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ ฉะนั้นการเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบ บี และซี จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าว แล้วใครควรตรวจบ้างไปดูกันเลย
สารบัญ
ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบ บี หากท่านหรือบุคคลที่รักมีปัจจัยต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งแพทย์จะตรวจ HBSAg จากการเจาะเลือด ดังนี้
- มีประวัติไวรัสตับอักเสบ บี หรือ มะเร็งตับในครอบครัว เช่นมีพ่อ แม่ พี่น้องทางแม่ หรือพี่น้องท้องเดียวกันเป็นโรคดังกล่าว
- มีการทำงานของตับผิดปติหรือแพทย์สงสัยว่าเป็นตับแข็งทั้งนี้เพราะไวรัสตับอักเสบ บี เป็นสาเหตุโรคตับที่พบบ่อยและในปัจจุบันรักษาได้
- มีประวัติเสี่ยงเช่นเคยใช้ยาเสพติดชนิดฉีด สักตามร่างกาย มีคู่นอนหลายคน
- หากท่านเกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 หรือมีความกังวลเรื่องไวรัสตับอักเสบ ปี ก็ควรตรวจ ในกรณีนี้ควรตรวจร่วมกับภูมิต้านทานด้วยเพราะหากไม่ติดเชื้อและยังไม่มีภูมิจะได้ฉีดวัคซีนไปด้วยเลย
ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบ ซี เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบ บี หากมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ควรได้รับการตรวจ Anti-HCV จากการเจาะเลือดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นหากให้ผลบวกแพทย์จะตรวจยืนยันเพิ่มเติม
- มีประวัติได้รับเลือด เกร็ดเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปีพ.ศ. 2533
- มีประวัติเสี่ยงเช่นเคยใช้ยาเสพติดชนิดฉีดสักตามร่างกาย สำส่อนทางเพศ
- มีการทำงานของตับผิดปกติหรือแพทย์สงสัยว่าเป็นตับแข็ง
ไวรัสตับอักเสบ บีและซี ป้องกันได้
เราสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีได้หลายวิธี ประกอบด้วย
- หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
- การเจาะ สักผิวหนัง
- การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่หากเชื้อไวรัสมีปริมาณมากควรได้รับยาต้านไวรัสช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และทารกควรได้รับการฉีดวัคซีนและอิมมูโนกลอบบูลิน (Hepatitis B immunoglobulin, HBIG) เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอด
- การฉีดวัคซีน เรายังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้โดยการฉีดวัคซีนซึ่งมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็มสามารถสร้างภูมิต้านทานซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิตส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่
- ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบปี
- ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
- บุคลากรทางการแพทย์
- สามีหรือภรรยาของผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต
- ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- ผู้ป่วยที่ต้องได้รับยากดภูมิต้านทาน
เนื่องจากในปัจจุบันวัคซีนมีความปลอดภัยสูง จึงควรฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและยังไม่มีภูมิต้านทานทุกคน สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลจากแพทย์ออนไลน์ได้เลย ที่นี่
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ